VALUE INVESTER
|
วอร์เรน บัฟเฟต (Warren Buffet) เศรษฐีผู้ร่ำรวยเป็นที่สองของโลกรองจากบิล เกตส์ ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านสถานีโทรทัศน์ CNBC เมื่อไม่นานมานี้หลังจากที่ได้แสดงเจตจำนงจะบริจาคเงินและทรัพย์สินมูลค่า 31,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (1.9 ล้านล้านบาท) ให้แก่สาธารณะบทสัมภาษณ์เขาน่าสนใจมาก เศรษฐีจากหุ้นคนนี้บอกว่า เขาซื้อหุ้นครั้งแรกเมื่ออายุ 11 ปี และเสียใจที่เขาซื้อช้าไป แต่กระนั้นก็ตาม เขาไม่เสียใจที่ใช้เงินออมที่ได้จากงานส่งหนังสือพิมพ์ ซื้อฟาร์มเล็ก ๆ เมื่อเขามีอายุ 14 ปีปัจจุบันถึงจะรวยแค่ไหนก็ยังอยู่ในบ้านหลังเล็กเดิมซึ่งมี 3 ห้องนอน ที่ซื้อมาหลังจากแต่งงานเมื่อห้าสิบปีก่อน เขาบอกว่าทุกสิ่งที่เขาต้องการมีอยู่ในบ้านหลังนี้ครบถ้วนแล้ว จึงไม่มีเหตุผลใดที่ต้องซื้อใหม่สำหรับรถยนต์นั้น เขาขับเองไปทุกแห่งหน โดยไม่มีคนขับหรือผู้รักษาความปลอดภัยไปด้วยเลย ยิ่งกว่านั้นเขาไม่มีเครื่องบินเจ็ตส่วนตัวเหมือนมหาเศรษฐีทั้งหลาย ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นเจ้าของบริษัทเครื่องบินเจ็ตที่ใหญ่ที่สุดของโลกก็ตามเมื่อมีเวลาว่างเขาไม่ไปสังสรรค์กับเพื่อนมหาเศรษฐีไฮโซ งานอดิเรกของเขาเมื่อกลับถึงบ้านคือทำข้าวโพดคั่วเอง และกินไปนั่งดูโทรทัศน์ไป เพราะนี่คือความสุขของเขา
|
|
โลกในมุมมองของ Value Investor 5 ธันวาคม 52 ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ความมั่งคั่ง ความร่ำรวย หรือการเป็นเศรษฐีสำหรับคนที่ไม่ได้มีพ่อแม่ร่ำรวยมาก่อนนั้น สำหรับคนจำนวนมากดูเป็นเรื่องที่ทำได้ยากมาก บางคนอ่านหนังสือเกี่ยวกับการออมก็มักได้รับคำแนะนำที่ทำได้ยาก เช่น บอกว่าให้กันเงินจากเงินเดือนหรือรายได้ 10-20% เก็บไว้ก่อน ไม่ใช่ใช้ก่อนเหลือแล้วค่อยเก็บ ปัญหาก็คือ รายได้นั้นไม่ค่อยพอใช้อยู่แล้วแม้ว่าจะไม่ได้ใช้อย่างฟุ่มเฟือย เพราะค่าใช้จ่ายจำนวนมากเป็นค่าใช้จ่ายที่ลดไม่ค่อยได้ เช่น ค่าผ่อนบ้าน ค่าผ่อนรถ ค่าอาหาร เป็นต้น ซึ่งผมเองเห็นด้วย วิธีการที่จะทำให้เรามั่งคั่งนั้นถ้าจะให้ปฏิบัติได้จริงต้องไม่ทำให้เรารู้สึกลำบากหรือรู้สึกว่าความสุขหายไปมากและเป็นเวลานาน เหนือสิ่งอื่นใด ความอยากรวยนั้นก็เพื่อที่จะทำให้มีความสุข ดังนั้น การเสียสละความสุขเพราะต้องลดค่าใช้จ่ายเป็นเวลานานนั้นจึงไม่มีเหตุผล |
|